เมนู

พระนางอุพพรี ฟังคำสุภาษิตของดาบส
ผู้เป็นสมณะนั้นแล้ว ถือบาตรและจีวรออกบวช
เป็นบรรพชิต ครั้นออกบวชแล้ว เจริญเมตตาจิต
เพื่อเข้าถึงพรหมโลก พระนางอุพพรีนั้น เมื่อ
ท่องเที่ยวไปสู่บ้านหนึ่งจากบ้านหนึ่ง สู่นิคมและ
ราชธานีทั้งหลาย ได้เสด็จสวรรคตที่บ้านอุรุเวลา
พระนางเบื่อหน่ายความเป็นหญิง เจริญเมตตาจิต
เพื่อบังเกิดในพรหมโลก จึงได้เป็นผู้เข้าถึง
พรหมโลก.

จบ อุพพรีเปติวัตถุที่ 13

อรรถกถาอุพพรีเปติวัตถุที่ 13



เรื่องนางอุพพรีเปรตนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อหุ ราชา พฺรหฺมทตฺโต
ดังนี้. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภอุบาสิกาคนหนึ่ง. เล่ากันมาว่า ในกรุงสาวัตถี ได้มีสามี
ของอุบาสิกาคนหนึ่งตายไป. อุบาสิกานั้นก็อาดูรเพราะความทุกข์
ในการพลัดพรากจากสามี เศร้าโศก เดินร้องไห้ไปยังป่าช้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติแห่งโสดาปัตติผลของนาง
ทรงมีพระมนัสอันพระกรุณากระตุ้นเตือน จึงเสด็จไปยังเรือน
ของนาง ประทับนั่งบนบัญญัตอาสน์. อุบาสิกาเข้าไปเฝ้าพระ-

ศาสดา ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระ-
ศาสดาตรัสกะนางว่า อุบาสิกา เธอเศร้าโศกไปทำไม. เมื่อนาง
ทูลว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันเศร้าโศก เพราะพลัดพราก
จากสามีสุดที่รัก ทรงมีพระประสงค์จะให้นางปราศจากความ
เศร้าโศก จึงได้นำอดีตนิทานมาว่า :-
ในอดีตกาล ในกปิลนครแคว้นปัญจาละ ได้มีพระราชา
พระนามว่า พรหมทัต พระองค์ทรงละการลุแก่อคติ ทรงยินดี
ในการทำประโยชน์แก่ประชาชนในแว่นแคว้นของพระองค์ ไม่
ทรงให้ราชธรรม 10 ประการเสียหายครองราชสมบัติอยู่ บาง
คราวประสงค์จะทรงสะดับว่า ในแว่นแคว้นของพระองค์ มีใคร
พูดอะไรกันบ้าง จึงปลอมเป็นช่างหูก พระองค์เดียวไม่มีเพื่อน
เสด็จออกจากนคร เที่ยวไปจากบ้านถึงบ้าน จากชนบทถึงชนบท
ทรงเห็นแว่นแคว้นทั่วไปไม่มีเสี้ยนหนาม ไม่ เบียดเบียน (ทั้ง)
พวกคนตื่นตัวอยู่ย่างไม่ต้องปิดประตูเรือน ทรงเกิดความโสมนัส
จึงเสด็จกลับมุ่งมายังพระนคร จึงเสด็จเข้าไปยังเรือนของหญิงหม้าย
ยากจนคนหนึ่งในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง. นางเห็นพระองค์จึงกล่าวถามว่า
ดูก่อนเจ้า ท่านเป็นใครและมาจากไหน. พระราชาตรัสว่า นาง
ผู้เจริญ ฉันเป็นช่างหูก เที่ยวรับจ้างทำการทอผ้า ถ้าท่านมีกิจใน
การทอผ้า ท่านจงให้อาหารและค่าจ้าง ฉันจะทำงานให้แม้แก่ท่าน
หญิงหม้ายกล่าวว่า ฉันไม่มีงานหรือค่าจ้าง ดูก่อนเจ้า ท่านจง
ทำงานของคนอื่นเถิด. พระราชานั้น ประทับอยู่ที่นั้น 2-3 วัน

ทรงเห็นธิดาของนางเพียบพร้อมด้วยลักษณะของผู้มีบุญมีโชค
จึงตรัสกะมารดาของนางว่า หญิงคนนี้ ใคร ๆ ทำการหวงแหนแล้ว
หรือยัง ถ้ายังไม่มีใคร ๆ หวงแหน ท่านจงให้เด็กหญิงคนนี้แก่เรา
เราสามารถทำอุบายเครื่องเลี้ยงชีพตามความสบายแก่พวกท่านได้
หญิงหม้ายนั้นรับคำ แล้วได้ถวายธิดานั้นแก่พระราชา.
พระราชา ทรงอยู่กันนางนั้น 2-3 วัน จึงพระราชทาน
ทรัพย์ 1,000 กหาปณะ แก่นางแล้วตรัสว่า เพียง 2-3 วันเท่านั้น
เราก็จักกลับ แน่ะนางผู้เจริญ เจ้าอย่ากระสันไปเลย ดังนี้แล้ว
จึงเสด็จไปยังพระนครของพระองค์ ทรงรับสั่งให้สร้างหนทางใน
ระหว่าง พระนครกับบ้านนั้น ให้สม่ำเสมอให้ประดับแล้วเสด็จไป
ในที่นั้น ด้วยราชานุภาพอันใหญ่แล้ว ให้ตั้งนางทาริกานั้นไว้ ใน
กองกหาปณะ แล้วให้อาบด้วยหม้อน้ำทองคำและหม้อน้ำเงิน แล้ว
ให้ตั้งชื่อว่า อุพพรี แล้วทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี
และได้ประทานบ้านนั้น แก่พวกญาติของนาง ได้นำนางมายัง
พระนครด้วยราชานุภาพอันใหญ่ ทรงอภิรมย์กับนาง เสวยรัชชสุข
ตลอดพระชนมชีพ ในที่สุดแห่งอายุ ก็เสด็จสวรรคต. ก็เมื่อพระ-
ราชาสวรรคตแล้ว และทำการถวายพระเพลิงพระศพเสร็จแล้ว
พระนางอุพพรีมีหทัยเพียบพร้อมด้วยลูกศร คือความเศร้าโศก
เพราะพลัดพรากจากพระสวามี ไปยังป่าช้า บูชาด้วยสักการะ
มีของหอมและดอกไม้เป็นต้น อยู่หลายวัน ระบุถึงพระคุณของ

พระราชา คร่ำครวญรำพรรณอยู่ ดุจถึงความเป็นบ้า กระทำ
ประทักษิณป่าช้า.
ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ของเราทั้งหลาย เป็นพระ-
โพธิสัตว์ ทรงผนวชเป็นฤาษี บรรลุฌานและอภิญญา อยู่ใน
ราวป่าแห่งหนึ่ง ใกล้ ๆ ขุนเขาหิมพานต์ ทอดพระเนตรเห็น
พระนางอุพพรี ผู้เพียบพร้อมไปด้วยลูกศร คือความเศร้าโศก
ด้วยทิพยจักษุ เสด็จเหาะมา ปรากฏรูป ประทับยืนอยู่ในอากาศ
ตรัสถามพวกมนุษย์ผู้อยู่ในที่นั้นว่า นี้เป็นป่าช้าของใครกัน และ
หญิงนี้ คร่ำครวญรำพรรณอยู่ว่า พรหมทัต พรหมทัต เพื่อต้องการ
พรหมทัตคนไหน. พวกมนุษย์ได้ฟังดังนั้น พากันกล่าวว่า พระราชา
ของชาวปัญจาละ ทรงพระนามว่า พรหมทัต ท้าวเธอสวรรคต
ในเวลาสิ้นพระชนมายุ นี้เป็นป่าช้าของท้าวเธอ นี้เป็นอัครมเหสี
ชื่อว่า อุพพรี ของพระองค์คร่ำครวญรำพรรณระบุถึงพระนามของ
พระองค์ว่า พรหมทัต พรหมทัต. พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย เมื่อจะ
แสดงความนั้น จึงได้ตั้งคาถา 6 คาถาว่า :-
พระเจ้าพรหมทัต ผู้เป็นใหญ่ เสวยราช-
สมบัติ ในแคว้นปัญจาละราช เมื่อวันคืนล่วงไป
พระองค์เสด็จสวรรคต พระนางเจ้าอุพพรีมเหสี
เสด็จไปยังพระเมรุมาศ แล้วทรงกรรแสงอยู่ เมื่อ
พระนางไม่เห็นพระเจ้าพรหมทัต ก็ทรงกรรแสง
ว่า พรหมทัต พรหมทัต ก็ดาบสผู้เป็นมุนี

สมบูรณ์ด้วยจรณญาณ ได้มาที่พระนางอุพพรี
ประทับอยู่นั้น ท่านได้ถามชนทั้งหลาย มาประ-
ชุมกันในที่นั้นว่า นี้เป็นพระเมรุมาศของใครกัน
มีกลิ่นหอมต่าง ๆ ฟุ้งตลบไป หญิงนี้เป็นภริยา
ของใครกัน ไม่เห็นพระเจ้าพรหมทัต ผู้เป็นใหญ่
ซึ่งเสด็จไปแล้ว ไกลจากโลกนี้ คร่ำครวญอยู่ว่า
พรหมทัต พรหมทัต ชนที่มาประชุมกันอยู่ในที่
นั้น กล่าวตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นี้เป็นพระ-
เมรุมาศของพระเจ้าพรหมทัต ข้าแต่ท่านผู้นิร-
ทุกข์ นี้เป็นพระเมรุมาศของพระเจ้าพรหมหัต
มีกลิ่นหอมฟุ้งตลบไป หญิงนี้เป็นพระมเหสีของ
ท้าวเธอ เมื่อไม่เห็นพระเจ้าพรหมทัต ผู้เป็นพระ-
ราชสวามี ซึ่งเสด็จไปไกลจากโลกนี้ ทรงกรร-
แสงอยู่ว่า พรหมทัต พรหมทัต.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหุ แปลว่า ได้มีแล้ว. บทว่า
ปญฺจาลานํ ได้แก่ชาวปัญจาลรัฐ หรือได้แก่ ปัญจาลรัฐนั่นเอง.
จริงอยู่ ชนบทแม้หนึ่งชนบท เขาแสดงออกด้วยคำเป็นอันมากว่า
ปญฺจาลานํ ด้วยถ้อยคำอันดาดดื่น ด้วยอำนาจแห่งพระราชกุมาร
ชาวชนบท. บทว่า รเถสโภ ความว่า ได้เป็นเสมือนผู้ยิ่งใหญ่
ในรถ คือ รถคันใหญ่. บทว่า ตสฺส อาฬาหนํ ได้แก่ สถานที่เป็น
ที่ถวายพระเพลิง พระสรีระของพระราชาพระองค์นั้น .

บทว่า อิสิ ความว่า ชื่อว่าฤาษี เพราะอรรถว่า แสวงหา
ซึ่งคุณมีฌานเป็นต้น. บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในที่เป็นที่ประทับของ
พระนางอุพพรีนั้น คือ ในสุสาน บทว่า อาคจฺฉิ แปลว่า ได้ไปแล้ว.
บทว่า สมฺปนฺนจรโณ ความว่า ผู้ถึงพร้อมคือ ผู้ประกอบด้วยคุณ
คือ จรณะ 15 ประการ เหล่านี้คือ สีลสัมปทา ความเป็นผู้คุ้มครอง
ทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย ความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ
ชาคริยานุโยค สัทธรรม 7 ประการมีศรัทธาเป็นต้น และรูปา-
วจรฌาน 4 ประการ. บทว่า มุนิ ความว่า ชื่อว่ามุนิ เพราะรู้
คือ รู้ชัด ซึ่งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น. บทว่า โส จ ตตฺถ
อปุจฺฉิตฺถ ความว่า พระดาบสนั้น ได้สอบถามถึงคนผู้อยู่ในที่นั้น.
บทว่า เย ตตฺถ สุ สมาคตา ได้แก่ เหล่าคนผู้มาประชุมกันที่ป่าช้า
นั้น. ศัพท์ว่า สุ เป็นเพียงนิบาต. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า เย ตตฺถาสุํ
สมาคตา
ดังนี้ก็มี. บทว่า อาสุํ ความว่า ได้มีแล้ว.
บทว่า นานาคนฺธสเมริตํ ความว่า มีกลิ่น นานาชนิด หอมฟุ้ง
อบอวลไปโดยรอบ. บทว่า อิโต แปลว่า จากมนุษยโลก. ด้วย
คำว่า ทูรคตํ หญิงนี้กล่าวเพราะค่าที่ตนไปสู่ปรโลก. บทว่า
พฺรหฺมทตฺตาติ วทติ ความว่า พระนางร้องเรียกด้วยอำนาจ
ความรำพรรณ โดยระบุถึงชื่ออย่างนี้ว่า พรหมทัต พรหมทัต.
บทว่า พฺรหฺมทตฺสฺส ภทฺทนฺเต พฺรหฺมทตฺตสฺส มาริส
อธิบายว่า ข้าแต่พระมหามุนีผู้มีกายและจิตปลอดโปร่ง ผู้นิรทุกข์
นี้เป็นพระเมรุมาศของพระเจ้าพรหมทัต หญิงนี้ เป็นพระมเหสี

ของพระเจ้าพรหมทัตพระองค์นั้นนั่นเอง ขอความเจริญ จงมีแก่
ท่าน และจงมีแด่พระเจ้าพรหมทัตนั้น ประโยชน์สุขย่อมมีแด่พระ-
มเหสีเช่นนั้น ผู้สถิตอยู่ในปรโลก ด้วยความคิดถึงเนืองนิตย์ถึงหิต
ประโยชน์.
ลำดับนั้น พระดาบสนั้น ครั้นสดับคำของคนเหล่านั้นแล้ว
ด้วยอาศัยความอนุเคราะห์ จึงไปยังสำนักของพระนางอุพพรี เพื่อ
จะบันเทาความเศร้าโศกของพระนางอุพพรี จึงได้กล่าวคาถาว่า :-
พระราชาทรงพระนามว่า พรหมทัต ถูก
เผาในป่าช้านี้ 86,000 พระองค์แล้ว บรรดา
พระเจ้าพรหมทัตเหล่านั้น พระนางทรง
กรรแสงถึงพระเจ้าพรหมทัตพระองค์ไหน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉฬาสีติสหสฺสานิ ความว่า
นับได้ 86,000 พระองค์ บทว่า พฺรหฺมทตฺตสฺสนามกา ได้แก่
มีชื่ออย่างนี้ว่า พรหมทัต. บทว่า เตสํ กมนุโสจสิ ความว่า พระนาง
ทรงพระกรรแสงถึงพระเจ้าพรหมทัตพระองค์ไหน บรรดาพระเจ้า
พรหมทัตที่นับได้ 86,000 พระองค์นั้น. ดาบสถามว่า พระนางเกิด
ความเศร้าโศก เพราะอาศัยพระเจ้าพรหมทัต พระองค์ไหนกัน.
ก็พระนางอุพพรี ถูกฤาษีนั้นถามแล้วอย่างนี้ เมื่อจะบอกถึง
พระเจ้าพรหมทัตที่ตนประสงค์ จึงกล่าวคาถาว่า :-
ข้าแต่ทานผู้เจริญ พระราชาพระองค์ใด
เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าจูฬนี ทรงเป็นใหญ่

อยู่ในแคว้นปัญจาละ ดิฉันเศร้าโศกถึงพระ-
ราชาพระองค์นั้น ผู้เป็นพระราชสวามี ทรงประ-
ทานสิ่งของที่น่าปรารถนาทุกอย่าง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จูฬนีปุตฺโต ได้แก่พระโอรส
ของพระราชา ผู้ทรงพระนามอย่างนั้น. บทว่า สพฺพกามทํ ได้แก่
ทรงประทานสิ่งทั้งปวงที่น่าต้องการน่าปรารถนาแก่ดิฉัน, หรือ
ผู้ให้สิ่งที่สรรพสัตว์ต้องการ.
เมื่อพระนางอุพพรี กล่าวอย่างนี้แล้ว ดาบสจึงกล่าว คาถา
2 คาถาอีกกว่า :-
พระราชาทุกพระองค์ ทรงพระนามว่า
พรหมทัตเหมือนกันทั้งหมด ล้วนเป็นพระราช-
โอรสของพระเจ้าจูฬนี เป็นใหญ่อยู่ในแคว้น
ปัญจาละ พระนางเป็นพระมเหสี ของพระ-
ราชาเหล่านั้นทั้งหมด โดยลำดับกันมา เพราะ
เหตุไร พระนางจึงเว้นพระราชา พระองค์ก่อน ๆ
เสีย มาทรงกรรแสงถึงพระราชาพระองค์หลัง
เล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺเพวาเหสุํ ความว่า พระราชา
เหล่านั้นทั้งหมดนับได้ 86,000 พระองค์ เป็นพระราชโอรสของ
พระเจ้าจูฬนี พระนามว่า พรหมทัต ได้เป็นใหญ่ในแคว้นปัญจาละ.

ความพิเศษมีความเป็นพระราชา เป็นต้นเหล่านี้ ไม่ได้มีแต่พระ-
ราชาแม้พระองค์เดียว ในพระราชาเหล่านั้น.
บทว่า มเหสิตฺตมการยิ ความว่า ก็ท่านได้กระทำ ให้เป็น
พระอัครมเหสี ของพระราชาทั้งหมดนั้น โดยลำดับ อธิบายว่า
ถึงโดยลำดับ ด้วยบทว่า กสฺมา พระดาบสถามว่า ท่านเว้น
พระราชาพระองค์ก่อน ๆ ในบรรดาพระราชาเหล่านี้ ผู้ไม่พิเศษ
โดยคุณและโดยเป็นพระสวามี มาทรงกรรแสงถึงพระราชาพระองค์
หลัง พระองค์เดียวเท่านั่น เป็นเพราะเหตุไร คือ ด้วยเหตุไร ?
พระนางอุพพรี ได้ฟังดังนั้นแล้ว เกิดสลดพระทัย จึงกล่าว
คาถากะดาบสอีกว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ดิฉันเกิดเป็นแต่หญิง
ตลอดกาลนานเท่านั้นหรือ หรือจะเกิดเป็นชาย
บ้าง ท่านพูดถึงแต่กาลที่ดิฉันเป็นหญิง ในสงสาร
เป็นอันมาก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาตุเม คือ ในตน. บทว่า อิจฺถิภูตาย
แปลว่า เกิดเป็นผู้หญิง. บทว่า ทีฆรตฺตาย แปลว่า ตลอดกาลนาน.
จริงอยู่ ในข้อนี้ มีอธิบายดังนี้ว่า เมื่อดิฉันเป็นผู้หญิง ก็คงเป็น
หญิงอยู่ตลอดกาลเท่านั้น. หรือว่า จะเป็นผู้ชายได้บ้าง. บทว่า
ยสฺสา เม อิตฺถิภูตาย ความว่า ข้าแต่ท่านพระมหามุนี ท่านพูด
ถึงคือกล่าวถึงแต่กาลที่ดิฉันเป็นหญิง เป็นมเหสี ในสงสารมากมาย
ถึงเพียงนั้น. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า อาหุ เม อิตฺถิภูตาย ดังนี้ก็มี.

บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า อา เป็นนิบาต ใช้ในอนุสสรณัตถะ.
บทว่า อาหุ เม ความว่า ดิฉันเอง ได้ระลึกถึง คือได้รู้ทั่วถึงข้อนี้.
มีวาจาประกอบความว่า เมื่อดิฉันเป็นหญิง คือเกิดเป็นผู้หญิง
ดิฉันเกิดไป ๆ มา ๆ ตลอดกาลเพียงเท่านี้ ด้วยอาการอย่างนี้
เพราะเหตุไร ? เพราะเมื่อดิฉันเป็นหญิง ท่านได้ทำดิฉันให้เป็น
มเหสีของพระราชาทุกพระองค์โดยลำดับ ข้าแต่พระมหามุนี
ท่านได้กล่าวถึงฉันในสงสารเป็นอันมาก เพราะเหตุไร ?
พระดาบสครั้นได้ฟังดังนั้นแล้ว เมื่อจะแสดงว่า การกำหนด
แน่นอนนี้ ไม่มีในสงสารว่า หญิงก็ต้องเป็นหญิง ชายก็ต้องเป็นชาย
อยู่นั่นเอง จงกล่าวคาถาว่า :-
บางคราวพระนางเกิดเป็นหญิง บางคราว
เกิดเป็นชาย บางคราวก็เกิดในกำเนิดปสุสัตว์
ที่สุดแห่งอัตภาพทั้งหลายอันเป็นอดีต ย่อม
ไม่ปรากฏอย่างนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหุ อิตฺถี อหุ ปุริโส ความว่า
บางคราวท่านก็เป็นหญิง บางคราวก็เป็นชาย จะเป็นหญิงหรือเป็น
ชายอย่างเดียวเท่านั้น ก็หามิได้ โดยที่แท้เกิดในกำเนิดปสุสัตว์บ้าง
คือ บางคราวก็ไปสู่ภาวะปสุสัตว์บ้าง คือ บางคราวก็เกิดในกำเนิด
สัตว์ดิรัจฉานบ้าง. บทว่า เอวเมตํ อตีตานํ ปริยนฺโต น ทิสฺสติ
ความว่า ที่สุดแห่งอัตภาพอันเป็นอดีต อันเกิดเป็นหญิง เป็นชาย
และเป็นสัตว์ดิรัจฉานเป็นต้น อย่างนี้ คือตามที่กล่าวแล้วนี้ ย่อม

ไม่ปรากฏ แก่ผู้เห็นด้วยญาณจักษุ คือ ด้วยความอุตสาหะใหญ่
สำหรับพระองค์ คืออย่างเดียวเท่านั้น ก็หามิได้ โดยที่แท้ที่สุดแห่ง
อัตภาพ ของเหล่าสัตว์ผู้วนเวียนอยู่ในสงสารทั้งหมด ย่อมไม่ปรากฏ
คือรู้ไม่ได้ทีเดียว. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า :-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้ไม่มีที่สุด
และเบื้องต้นอันใคร ๆ ไปตามอยู่รู้ไม่ได้ เบื้องต้น
และที่สุดของเหล่าสัตว์ ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่อง
ปิดกั้น ผูกพันด้วยตัณหา แล่นไป ท่องเที่ยวไป
ย่อมไม่ปรากฏ.

พระมเหสี ได้ฟังธรรมที่พระดาบสนั้น เมื่อจะประกาศ
ความที่สงสารไม่มีที่สุด และความที่สัตว์มีกรรมเป็นของของตน
แสดงไว้แล้วอย่างนี้ มีหทัยสลดในสงสาร และมีใจเลื่อมใสในธรรม
ปราศจากลูกศรคือความเศร้าโศก เมื่อจะประกาศความเลื่อมใส
และความปราศจากเศร้าโศกของตน จึงกล่าวคาถา 3 คาถาว่า:-
ท่านดับความกระวนกระวายทั้งปวงของ
ดิฉัน ผู้เร่าร้อนอยู่ให้หายเหมือนบุคคลเอาน้ำ
ดับไฟที่ลาดด้วยน้ำมันฉะนั้น ท่านบันเทาความ
เศร้าโศก ถึงพระสวามีของดิฉัน ผู้ถูกความ
เศร้าโศกครอบงำแล้ว ถอนได้แล้วหนอ ซึ่งลูกศร
ความเศร้าโศก อันเสียดแทงที่หทัยของดิฉัน
ข้าแต่ท่านผู้เป็นพระมหามุนี ดิฉันเป็นผู้มีลูกศร

คือความเศร้าโศกอันถอนขึ้นได้แล้ว เป็นผู้เย็น
สงบ ดิฉันไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้อีก เพราะได้
ฟังคำของท่าน.
ความของคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้ว ในหนหลัง
นั่นแล.
บัดนี้ พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงข้อปฏิบัติของพระนาง
อุพพรี ผู้มีพระหทัยสลด จึงได้ตรัสพระคาถา 4 พระคาถาว่า :-
พระนางอุพพรี ฟังคำสุภาษิตของดาบส
เป็นสมณะนั้นแล้ว ถือบาตรและจีวรออกบวช
เป็นบรรพชิต ครั้นออกบวชแล้ว เจริญเมตตาจิต
เพื่อเข้าถึงพรหมโลก พระนางอุพพรีนั้น เมื่อ
ท่องเที่ยวไปสู่บ้านหนึ่งจากบ้านหนึ่ง สู่นิคม
และราชธานีทั้งหลาย ได้เสด็จสวรรคต ที่บ้าน
อุรุเวลา พระนางเบื่อหน่ายความเป็นหญิง เจริญ
เมตตาจิต เพื่อบังเกิดในพรหมโลก จึงได้เป็นผู้
เข้าถึงพรหมโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺส ได้แก่ ดาบสนั้น. บทว่า
สุภาสิตํ ได้แก่ คำอันเป็นสุภาษิต, อธิบายว่า ซึ่งธรรม, บทว่า
ปพฺพชิตา สนฺตา ได้แก่ เข้าถึงบรรพชา หรือบวชแล้ว เป็นผู้มี
กายวาจาสงบ. ด้วยบทว่า เมตฺตจิตฺตํ พระนางอุพพรี กล่าวถึงจิต
ที่เกิดพร้อมด้วยเมตตา คือ ฌานที่มีเมตตาเป็นอารมณ์ โดยยก

จิตขึ้นเป็นประธาน. บทว่า พฺรหฺมโลกูปปติติยา ความว่า ก็และ
พระนางเมื่อเจริญเมตตาจิตนั้น ก็เจริญเพื่อเข้าถึงพรหมโลก ไม่ใช่
เพื่อเป็นบาทแห่งวิปัสสนาเป็นต้น. จริงอยู่เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่
เสด็จอุบัติ ดาบสและปริพาชกเจริญธรรมมีพรหมวิหารเป็นต้น
ก็เจริญเพียงเพื่อภวสมบัติเท่านั้น.
บทว่า คามา คามํ ได้แก่ จากบ้านหนึ่ง ไปบ้านหนึ่ง. บทว่า
อาภาเวตฺวา แปลว่า เจริญแล้ว คือ พอกพูนแล้ว. บางอาจารย์
กล่าวว่า อภาเวตฺวา ก็มี. อ อักษร ของบทว่า อภาเวตฺวา ของ
อาจารย์บางพวกนั้น เป็นเพียงนิบาต. บทว่า อิตฺถิ จิตฺตํ วิราเชตฺวา
ความว่า คลายความคิด คือ ความมีอัธยาศัย ได้แก่ ความชอบใจ
ในความเป็นหญิง คือ เป็นผู้มีจิตปราศจากความยินดี ในความ
เป็นหญิง. บทว่า พฺรหฺมโลกูปคา ความว่า ได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก
โดยการถือปฏิสนธิ. คำที่เหลือ ง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้ว
ในหนหลัง.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ได้ทรง
กระทำความเศร้าโศก ของอุบาสิกานั้น โดยจตุสัจจเทศนาเบื้องบน.
ในเวลาจบสัจจะ อุบาสิกานั้น ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. และ
เทศนา ได้มีประโยชน์แก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอุพพรีเปติวัตถุที่ 13

จบ ปรมัตถทีปนี
อรรถกถาขุททกนิกาย เปตวัตถุ

รวมเรื่องที่มีในอุพพรีวรรคนี้ คือ
1. สังสารโมจกเปติวัตถุ 2. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ
3. มัตตาเปติวัตถุ 4. นันทาเปติวัตถุ 5. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ
6. กัณหเปตวัตถุ 7. ธนปาลเปตวัตถุ 8. จูฬเสฏฐีเปตวัตถุ
9. อังกุรเปตวัตถุ 10. อุตตรมาตุเปติวัตถุ 11. สุตตเปตวัตถุ
12. กรรณมุณฑเปติวัตถุ 13. อุพพรีเปติวัตถุ.
จบ อุพพรีวรรคที่ 2
อุพพรีวรรคที่ 2
ประดับด้วยเรื่อง 13 เรื่อง

จูฬวรรคที่ 3



1. อภิชชมานเปตวัตถุ



ว่าด้วยเปรตเปลือยมีร่างเป็นเปรตกึ่งหนึ่ง



โกสิยมกาอำมาตย์ของพระเจ้าพิมพิสาร ถามเปรตตนหนึ่งว่า
[111] ดูก่อนเปรต ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มี
ร่างกายเป็นเปรตกึ่งหนึ่ง ทัดทรงดอกไม้ ตกแต่ง
ร่างกาย เดินไปในน้ำอันไม่ขาดสาย ในแม่น้ำ
คงคานี้ ท่านจักไปไหน ที่อยู่ของท่านอยู่ที่ไหน.

เพื่อจะแสดงเนื้อความที่เปรตนั้นและโกสิยมหาอำมาตย์
กล่าวแล้ว พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวคาถาความว่า
เปรตนั้นกล่าวว่า ข้าพเจ้าจักไปยังบ้าน
จุนทัฏฐิละ อันอยู่ในระหว่างแห่งวาสภคามกับ
เมืองพาราณสี แต่บ้านนั้นอยู่ใกล้เมืองพาราณสี
มหาอำมาตย์อันปรากฏชื่อว่าโกลิยะเป็นเปรต
นั้นแล้ว ได้ให้ข้าวสัตตูและคู่ผ้าสีเหลืองแก่เปรต
นั้น เมื่อเรือหยุดเดิน ได้ให้ข้าวสัตตูและคู่ผ้าแก่
อุบาสก เมื่อคู่ผ้าอันโกลิยะอำมาตย์ให้ช่างกัลบก
แล้ว ผ้านุ่งผ้าห่มก็ปรากฏแก่เปรตทันที ภายหลัง
เปรตนั้นนุ่งห่มผ้าดีแล้ว ทัดทรงดอกไม้ตบแต่ง